ภาพยนตร์เรื่อง ไซอิ๋ว 95 เดี๋ยวคนเดี๋ยวลิง นำแสดงโดย โจวซิงฉือ, อู๋ม่งต๊ะ, หลอเจียอิง, จูอิน, ม่อเหวินเหว่ย, หลันเจียอิง, Jeff Lau กำกับการแสดงโดย Jeff Lau กำกับคิวบู๊โดย ชิงซิวตุง (Ching Siu Tung) ผมว่าหลายๆคนคงจะได้เคยดูภาพยนตร์เรื่องนี้เพราะเอามาฉายซ้ำกันบ่อยๆในสถานีทีวีของเมืองไทยรวมทั้งเคเบิลทีวี ภาพยนตร์เรื่องนี้ผมว่าเป็นงาน Master piece ชิ้นหนึ่งของ โจวซิงฉือ ตั้งแต่แสดงภาพยนตร์มา
ไซอิ๋ว 95 เดี๋ยวคนเดี๋ยวลิง หรือ ในชื่อภาษาอังกฤษว่า Chinese Odyssey 95 ซึงมีอยู่ด้วยกันสองภาค ภาคแรกชื่อว่า Pandoras Box และภาคสองมีชื่อว่า A Cinderella เป็นภาพยนตร์ที่ โจวซิงฉือ ดัดแปลงมาจากวรรณกรรมเรื่อง ไซอิ๋ว แต่แทนที่ พระถังซำจั๋ง และลูกศิษย์สามคนของเขาจะเดินทางไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่ประเทศอินเดียตามบทประพันธ์เดิม แต่กลายเป็นว่าแทนที่ เห้งเจีย หรือ ซุนหงอคง ซึ่งต้องเผชิญและต่อสู้กับปีศาจ และปกป้องอาจารย์ของตน กลับเป็น เห้งเจีย หรือ ซุนหงอคง ต้องต่อสู้กับความแข็งแกร่งของจิตใจตน และกิเลศตัณหาในจิตใจของตนเอง
เนื้อเรืองในภาพยนตร์ภาคแรก ตอน Pandoras Box กล่าวถึง เห้งเจีย กับสหายรัก ปีศาจวัวกระทิง ทรยศ พระถังซำจั๋งจะจับเอาอาจารย์ของตัวเองมาเพื่อจะกินเนื้อเพื่อความอยู่ยงคงกระพัน แต่ เจ้าแม่กวนอิม มาช่วยไว้ได้ทัน พระถังซำจั๋ง รู้สึกผิดและละอายใจในตัว เห้งเจีย ผู้เป็นลูกศิษย์ที่ไม่สามารถสั่งสอนลูกศิษย์คนนี้ให้ดีได้ จึงฆ่าตัวเองตายเพื่อไถ่โทษให้แก่ศิษย์คนโตนี้ อีกหลายร้อยปีต่อมา เห้งเจีย กลับมาเกิดใหม่เป็นหัวหน้าโจรภูเขา แต่แล้วเหตุการณ์การพาให้เค้าได้ตามหาอดีตของตัวเอง และด้วยของวิเศษที่เรียกว่า "กล้องแสงจันทร์" ที่สามารถย้อมเวลาไปหาอดีตได้ เห้งเจียในรูปของโจรหนุ่มได้รับโอกาศอีกครั้ง โอกาศที่จะกลับไปแก้ตัว ช่วยเหลือพระถังซำจั๋งให้พ้นภัย ในภาคนี้ เห้งเจียต้องเผชิญหน้ากับ ปีศาจกระดูกขาว คนรักเก่าในชาติที่แล้ว ที่เค้าแทบจะไม่รู้จักเลย ก่อให้เกิดรักและตัณหาในใจของ เห้งเจีย ภาคแรกมาจบตอนที่ เห้งเจีย เริ่มระลึกตัวเองได้ว่าตัวเองเป็นใคร
ภาคสอง ในตอนที่ชื่อว่า A Cinderella เป็นตอนที่ เห้งเจีย ได้พบกับนางฟ้าสาวสวยที่แปลงร่างมาจากไส้ตะเกียงบนแท่นบูชาของพระยูไล เกิดเป็นความรักและต้องมาชิงรักหักสวาทกับ ปีศาจวัวกระทิง ความรักทำให้เกิดแผลใจครั้งยิ่งใหญ่ให้แก่ เห้งเจีย (ในร่างของโจรหนุ่ม) และคนรักของเขา ในที่สุด เห้งเจีย ตัดสินใจคืนร่างเดิม และ ติดตาม พระถังซำจั๋งไปอัญเชิญพระไตรปิฎก เพื่อละทิ้งจากความโลภ ความโกรธ ความหลง และกิเลศตัณหาทั้งปวง
ไซอิ๋ว 95 อาจเป็นแค่หนังนอกสายตาหากบางท่านเอาไปเปรียบเทียบกับหนังที่ทำออกมาในลักษณะของ หนังมหากาพย์ ที่ออกมาให้ดูอย่างต่อเนื่องในยุคปลาย 1900 จนถึงหลังยุค 2000 แต่หามองในแง่มุมของความพยายามที่จะถ่ายทอดเรื่องราวผ่านรอยยิ้มและเสียงหัวเราะแล้วล่ะก็บอกได้เลยครับ ว่าเฮียโจวทำได้อย่างเนียนๆ หลากหลายรสชาติที่คละเคล้าให้คุณได้ลิ้มรสอย่างไม่รู้เบื่อ การแปลงบทประพันธ์โดยไม่ให้เสียเค้าโครงที่มีมนต์ขลัง และแต่งแต้มสีสันให้เรื่องราวผ่านตัวละครที่คุ้นเคยและไม่เคยคุ้น ไม่ทำให้คุณรู้สึกเลี่ยนแม้แต่น้อย แต่กลับยิ่งทำให้รู้สึกผูกพันธ์กับตัวละครและเนื้อเรื่องได้อย่างน่าแปลกใจ และหากคุณอารมณ์สุนทรีย์มากพอในขณะที่ดู ก็ไม่ยากเลยที่จะหลุดเข้าไปเป็นหนึ่งในตัวละคร หรือแหวกว่ายอยู่ในเรื่องราว คล้ายกับได้อยู่ในเหตุการณ์ขณะนั้นจริงๆ ความรักชาติและส่งเสริมวัฒนธรรมจีนของโจวซิงฉือ ไม่ทำให้ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนใจในการดูแม้แต่น้อย หากแต่ทำให้รู้เลยว่า ผู้ชายแซ่โจวคนนี้ จริงใจอย่างมากมาย และกล้าที่ถ่ายทอดแง่มุมที่ชัดเจนอย่างไม่เคอะเขิน ลูกเล่นเล็กๆน้อยๆที่อยู่ในช่วงที่จอมโจรโดนตีตราจากเทพสายใยที่ฝ่าเท้า และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการกลับไปเป็นเห้งเจียนั้น ได้เจตนาใช้ดนตรีที่คุ้นหูและสร้างอิมเมจได้อย่างเหลือเชื่อ และกลายเป็นอีกฉากเล็กๆที่คงอยู่ในความทรงจำได้เป็นอย่างดี ขณะที่ฉากจบของเรื่อง ผมขอยอมรับโดยไม่อายว่า ร้องไห้กับฉากนี้ทุกครั้งที่ดู ทั้งบรรยากาศที่เกิดขึ้น การเดินเรื่องส่งอารมณ์และเพลงในฉากจบที่โหยหาร่ำไห้อาลัยอาวรได้อย่างลึกซึ้ง เปล่าครับ ผมไม่ได้แตกฉานในภาษาจีนขนาดนั้น ฟังออกไม่กี่คำ แต่ที่กินลึกบาดลึกลงไปในใจกลับถ่ายทอดความรู้สึกอันโหยหาในสิ่งที่กำลังจะสูญเสียได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ นี่กระมังครับ ที่ว่าดนตรีไม่มีภาษา ดูให้ได้ครับ ผมไม่อยากจะเก็บเรื่องราวดีๆแบบนี้ไว้คนเดียว แต่อยากให้ทุกคนได้ลองสัมผัสดู สำหรับเรื่องไซอิ๋ว 95 ผมให้ 10/10 ครับ ข้อติไม่ใช่ไม่มีแต่ถูกข้อดีหักล้างจนสิ้น